เมนู

พระองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกภัทรวัคคีย์นั่นก็ปรารถนา
พระอรหัต ในสำนักพระพุทธเจ้าในปางก่อนแล้วทำบุญ. ภายหลัง
เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น, เป็นนักเลง 30 คน ฟังตุณฑิโลวาท
แล้ว ได้รักษาศีล 5 ตลอดหกหมื่นปี. แม้ภัทรวัคคีย์เหล่านี้ ก็ได้ผล
ที่ตนปรารถนาแล้ว ๆ เหมือนกัน ด้วยประการอย่างนี้. หาใช่เราเลือก
หน้าให้ภิกษุทั้งหลายไม่."

บุรพกรรมของชฎิล 3 พี่น้อง


ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็กัสสปะ 3
พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น ทำกรรมอะไรไว้เล่า ?"
พระองค์ตรัสว่า "เขาปรารถนาพระอรหัตเหมือนกัน ทำบุญ
แล้ว. ก็ใน 92 กัลป์แต่นี้ไป พระพุทธเจ้า 2 พระองค์คือ พระติสสะ1
พระผุสสะ2 เสด็จอุบัติแล้ว พระราชาพระนามว่ามหินท์ได้เป็นพระบิดา
ของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าผุสสะ ก็เมื่อพระองค์ทรงบรรลุ
พระสัมโพธิแล้ว. พระโอรสองค์เล็กของพระราชาได้เป็นพระอัครสาวก
บุตรปุโรหิตได้เป็นพระสาวกที่ 2. พระราชาได้เสด็จไปยังสำนักพระ-
ศาสดา ทรงตรวจดูชนเหล่านั้นว่า "ราชโอรสองค์ใหญ่ของเราเป็น
พระพุทธเจ้า. ราชโอรสองค์เล็กเป็นอัครสาวก, บุตรปุโรหิตเป็นพระ-
สาวกที่ 2" ทรงเปล่งพระอุทาน 3 ครั้งว่า "พระพุทธเจ้าของข้าพเจ้า,
พระธรรมของข้าพเจ้า. พระสงฆ์ของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่

1. ขุ. พุ. 33/507. 2. ขุ. พุ. 33/511 ก็ในที่นั้นปรากฏว่า ปุสสะ. และพระบิดา
ของพระองค์ พระนามว่า ชยเสนะ.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเองพระองค์นั้น" ดังนี้
แล้ว หมอบลงแทบบาทมูลของพระศาสดา ทรงรับปฏิญญาว่า "ข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้เป็นดุจเวลาที่หม่อมฉันนั่งหลับ ในที่สุดอายุ
ประมาณเก้าหมื่นปี, ขอพระองค์อย่าเสด็จไปสู่ประตูเรือนของชนเหล่าอื่น
จงทรงรับปัจจัย 4 ของหม่อมฉัน ตลอดเวลา ที่หม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่"
ดังนี้แล้ว ทรงทำพุทธอุปัฏฐากเป็นประจำ, อนึ่ง พระราชาทรงมีพระ-
ราชโอรสอื่นอีก 3 พระองค์. บรรดาพระราชโอรส 3 พระองค์เหล่านั้น
พระองค์ใหญ่มีนักรบเป็นบริวาร 500 พระองค์กลางมี 300, พระองค์
เล็กมี 200. พระราชโอรส 3 พระองค์เหล่านั้น ทูลขอโอกาสกะ
พระบิดาว่า "แม้หม่อมฉันทั้งหลายจักนิมนต์พระเจ้าพี่เสวย," แม้ทูล
อ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ได้, เมื่อปัจจันตชนบทกำเริบแล้ว, ถูกส่งไป
เพื่อประโยชน์ระงับปัจจันตชนบทนั้น ปราบปัจจันตชนบทให้ราบคาบ
แล้ว มาสู่สำนักพระราชบิดา. ครั้งนั้น พระบิดาทรงสวมกอดพระโอรส
ทั้งสามเหล่านั้นแล้ว จุมพิตที่ศีรษะ ตรัสว่า "พ่อทั้งหลาย บิดาให้พร
แก่พวกเจ้า." พระโอรสทั้งสามนั้นทูลว่า "ดีละ พระเจ้าข้า," ทำพระพร
ให้เป็นอันถือเอาแล้ว, โดยกาลล่วงไปสองสามวัน พระบิดาตรัสอีกว่า
"พ่อทั้งหลาย พวกเจ้าจงรับพรเสียเถิด," กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า
ความประสงค์ด้วยสิ่งไร ๆ อื่นของหม่อมฉันไม่มี. ตั้งแต่บัดนี้ หม่อมฉัน
จักนิมนต์พระเจ้าพี่เสวย, ขอพระราชทานพรนี้แก่หม่อมฉันเถิด."
ร. ให้ไม่ได้ พ่อ.
อ. เมื่อไม่พระราชทานเสมอไป ก็พระราชทานเพียง 7 ปี.
ร. ให้ไม่ได้ พ่อ.

อ. ถ้ากระนั้น ก็พระราชทานเพียง 6 ปี 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี
1 ปี 7 เดือน 6 เดือน 5 เดือน 4 เดือน 3 เดือน.
ร. ให้ไม่ได้ พ่อ.
อ. ช่างเถิด พระเจ้าข้า. ขอทรงพระราชทานสัก 3 เดือน แก่
ข้าพระองค์ทั้งหลาย คนละเดือน ๆ.
ร. ดีละ พ่อ, ถ้ากระนั้น เจ้าจงนิมนต์ให้เสวยได้ 3 เดือน
ก็ขุนคลังของพระราชบุตรทั้งสามนั้นคนเดียวกัน, สมุห์บัญชีก็คน
เดียวกัน, ท่านทั้งสามพระองค์นั้น มีบุรุษ 12 นหุตเป็นบริวาร.
พระราชโอรสทั้งสามรับสั่งให้เรียกบริวารเหล่านั้นมาแล้ว ตรัสว่า "เรา
ทั้งสามจักรับศีล 10 นุ่งห่มผ้ากาสายะ 2 ผืน อยู่ร่วมด้วยพระศาสดา
ตลอดไตรมาสนี้, พวกท่านพึงรับค่าใช้จ่ายมีประมาณเท่านี้ ยังของเคี้ยว
ของบริโภคทุกอย่างให้เป็นไปทั่วถึงแก่ภิกษุเก้าหมื่นรูป และนักรบของ
เราพันหนึ่ง, เพราะแต่นี้ไป พวกเราจักไม่พูดอะไร ๆ."
พระราชโอรสทั้งสามนั้น พาบุรุษบริวารพันหนึ่งสมาทานศีล 10
นุ่งห่มผ้ากาสายะ อยู่แต่ในวิหาร. ขุนคลังและสมุห์บัญชี ได้ร่วมกัน
เบิกเสบียงตามวาระ ๆ จากเรือนคลังทั้งหลาย ของพระพี่น้องทั้งสาม
ถวายทานอยู่.

กินอาหารที่เขาอุทิศภิกษุสงฆ์ตายไปเป็นเปรต


ก็บุตรของพวกกรรมกร ร้องไห้ต้องการข้าวยาคูและภัตเป็นต้น.
กรรมกรเหล่านั้น เมื่อภิกษุสงฆ์ยังไม่ทันมา ก็ให้วัตถุมีข้าวยาคูและกัด
เป็นต้นแก่บุตรเหล่านั้น. ในเวลาที่ภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จแล้วไม่เคยมีของ
อะไรเหลือเลย.